4. เขียนโฆษณาอย่างไรให้คนอยากคลิก

การเขียนโฆษณาที่ดึงดูดให้คนอยากคลิกเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่ต่างจากการเขียนบทกวีสั้นๆ ที่ต้องสื่อสารได้มากด้วยคำน้อย ในโลกของ Google Ads ที่มีพื้นที่จำกัด การเลือกใช้คำแต่ละคำจึงสำคัญมาก เปรียบเสมือนการปรุงอาหารจานเด็ดที่ต้องเลือกส่วนผสมอย่างพิถีพิถัน ใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ และนำเสนอออกมาอย่างน่าลิ้มลอง มาดูกันว่าเราจะเขียนโฆษณาอย่างไรให้โดนใจผู้บริโภคและกระตุ้นให้พวกเขาอยากคลิก

1. โครงสร้างของโฆษณา Google Ads

ก่อนจะเริ่มเขียน เรามาทำความเข้าใจโครงสร้างของโฆษณา Google Ads กันก่อน:

– หัวเรื่อง (Headlines): มีได้ถึง 3 หัวเรื่อง แต่ละหัวเรื่องยาวไม่เกิน 30 ตัวอักษร
– คำอธิบาย (Descriptions): มีได้ 2 บรรทัด แต่ละบรรทัดยาวไม่เกิน 90 ตัวอักษร
– URL ที่แสดง (Display URL): แสดง domain หลักของเว็บไซต์คุณ
– เส้นทาง (Path): สามารถเพิ่มข้อความสั้นๆ ต่อท้าย URL ได้ 2 ส่วน

ตัวอย่างโครงสร้างโฆษณา:

หัวเรื่อง 1: รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ล่าสุด
หัวเรื่อง 2: เบาสบายเท้า วิ่งได้ไกลขึ้น
หัวเรื่อง 3: ลด 20% เฉพาะวันนี้!
คำอธิบาย 1: รองเท้าวิ่งเทคโนโลยีล่าสุด ออกแบบมาเพื่อนักวิ่งทุกระดับ สวมใส่สบาย รองรับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม
คำอธิบาย 2: มีให้เลือกหลายสี หลายขนาด พร้อมบริการวัดขนาดเท้าฟรี! สั่งวันนี้ ส่งฟรีทั่วไทย รับประกันความพอใจ 30 วัน
URL ที่แสดง: www.runningshoestore.com
เส้นทาง: /NewCollection /Sale

2. หลักการเขียนโฆษณาให้น่าคลิก

2.1 จิตวิทยาการตลาดที่ควรรู้

ก่อนจะเริ่มเขียน มาทำความเข้าใจหลักจิตวิทยาการตลาดที่จะช่วยให้โฆษณาของคุณน่าสนใจมากขึ้น:

a) หลักการขาดแคลน (Scarcity Principle):
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะให้คุณค่ากับสิ่งที่มีจำนวนจำกัดหรือหาได้ยาก การสร้างความรู้สึกว่าสินค้ามีจำนวนจำกัดหรือข้อเสนอมีระยะเวลาจำกัดจะกระตุ้นให้คนอยากคลิกมากขึ้น

ตัวอย่าง: “เหลือเพียง 5 ชิ้นสุดท้าย!” หรือ “ข้อเสนอพิเศษหมดเขตวันนี้!”

b) การพิสูจน์ทางสังคม (Social Proof):
ผู้คนมักจะทำตามสิ่งที่คนอื่นทำ โดยเฉพาะเมื่อไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร การแสดงให้เห็นว่ามีคนอื่นใช้และชอบสินค้าของคุณจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ

ตัวอย่าง: “ลูกค้ากว่า 10,000 คนพึงพอใจ” หรือ “อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค”

c) ความกลัวที่จะพลาด (Fear of Missing Out — FOMO):
คนเรามักกลัวว่าจะพลาดโอกาสดีๆ การสร้างความรู้สึกเร่งด่วนหรือแสดงให้เห็นว่าคนอื่นกำลังได้ประโยชน์จากสินค้าของคุณจะกระตุ้น FOMO ได้ดี

ตัวอย่าง: “คนอื่นกำลังซื้อตอนนี้!” หรือ “อย่าพลาดโอกาสสุดท้าย!”

d) การตอบสนองความต้องการพื้นฐาน:
มนุษย์มีความต้องการพื้นฐาน เช่น ความปลอดภัย การยอมรับ และความสำเร็จ การแสดงให้เห็นว่าสินค้าของคุณตอบสนองความต้องการเหล่านี้จะดึงดูดความสนใจได้มาก

ตัวอย่าง: “ปกป้องครอบครัวคุณ” หรือ “ก้าวสู่ความสำเร็จในอาชีพ”

e) ความเจ็บปวดและความพึงพอใจ (Pain and Pleasure):
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดและแสวงหาความพึงพอใจ การชี้ให้เห็นปัญหาที่ผู้บริโภคกำลังเผชิญและนำเสนอวิธีแก้ไขจะดึงดูดความสนใจได้ดี

ตัวอย่าง: “เบื่อกับผมร่วงหรือเปล่า? ลองผลิตภัณฑ์ของเราสิ!”

2.2 เทคนิคการเขียนโฆษณาให้น่าคลิก

a) ใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์:
คำบางคำมีพลังในการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งจะช่วยให้โฆษณาของคุณโดดเด่นและน่าสนใจมากขึ้น

ตัวอย่างคำที่กระตุ้นอารมณ์:
— ฟรี, ประหยัด, คุ้มค่า (กระตุ้นความรู้สึกอยากได้)
— ใหม่, ล่าสุด, ทันสมัย (กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น)
— ปลอดภัย, มั่นคง, รับประกัน (สร้างความรู้สึกปลอดภัย)
— พิเศษ, เฉพาะ, จำกัด (สร้างความรู้สึกเป็นคนพิเศษ)

ตัวอย่างโฆษณา: “ใหม่! ครีมบำรุงผิวสูตรพิเศษ ผลลัพธ์ชัดเจนใน 7 วัน รับประกันความพอใจ 100%”

b) ใช้ตัวเลขและสถิติ:
ตัวเลขและสถิติช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดความสนใจได้ดี

ตัวอย่าง: “ลดน้ำหนักได้ถึง 5 กก. ใน 30 วัน!” หรือ “97% ของลูกค้าพึงพอใจ”

c) ใช้คำถามเพื่อกระตุ้นความสนใจ:
การตั้งคำถามจะช่วยดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้ผู้อ่านคิดตาม

ตัวอย่าง: “อยากประหยัดค่าไฟลงครึ่งหนึ่งไหม?” หรือ “คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นหรือยัง?”

d) นำเสนอประโยชน์ ไม่ใช่แค่คุณสมบัติ:
แทนที่จะบอกแค่ว่าสินค้าคุณมีอะไร ให้บอกว่ามันจะช่วยลูกค้าได้อย่างไร

ตัวอย่าง: แทนที่จะบอกว่า “แบตเตอรี่ 5000 mAh” ให้บอกว่า “ใช้ได้นานถึง 2 วันโดยไม่ต้องชาร์จ”

e) ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน:
บอกผู้อ่านว่าต้องทำอะไรต่อไปอย่างชัดเจน

ตัวอย่าง: “สั่งเลย!”, “จองตอนนี้!”, “ดูข้อเสนอพิเศษ!”

f) สร้างความเร่งด่วน:
กระตุ้นให้ผู้อ่านรู้สึกว่าต้องรีบตัดสินใจ

ตัวอย่าง: “เฉพาะวันนี้เท่านั้น!”, “ข้อเสนอจำกัดจำนวน!”

g) แสดงความเป็นเอกลักษณ์:
บอกว่าทำไมสินค้าหรือบริการของคุณถึงพิเศษกว่าของคู่แข่ง

ตัวอย่าง: “นวัตกรรมเฉพาะของเรา”, “สูตรลับที่ไม่มีใครเหมือน”

h) ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย:
หลีกเลี่ยงคำศัพท์เทคนิคหรือภาษาที่เข้าใจยาก ใช้ภาษาที่ลูกค้าของคุณใช้ในชีวิตประจำวัน

ตัวอย่าง: แทนที่จะบอกว่า “อุปกรณ์ปรับอากาศอัจฉริยะ” ให้บอกว่า “แอร์ที่คุณสั่งงานด้วยเสียงได้”

3. ตัวอย่างการเขียนโฆษณาแบบก่อน-หลัง

ลองมาดูตัวอย่างการเขียนโฆษณาแบบธรรมดา เปรียบเทียบกับโฆษณาที่ใช้เทคนิคข้างต้น:

ก่อน:
หัวเรื่อง 1: ร้านอาหารอิตาเลียน
หัวเรื่อง 2: เมนูหลากหลาย
หัวเรื่อง 3: เปิดทุกวัน
คำอธิบาย: เรามีอาหารอิตาเลียนหลายอย่าง ทั้งพิซซ่า พาสต้า และอื่นๆ เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 11:00–22:00 น. มีที่จอดรถ

หลัง:
หัวเรื่อง 1: อร่อยเหมือนอยู่อิตาลี!
หัวเรื่อง 2: พิซซ่าเตาถ่าน ลด 20% วันนี้
หัวเรื่อง 3: จองโต๊ะใน 2 นาที รับฟรี

4. เทคนิคเพิ่มเติมสำหรับการเขียนโฆษณา Google Ads

4.1 ใช้ประโยชน์จาก Ad Extensions
Ad Extensions คือส่วนเสริมที่ช่วยให้โฆษณาของคุณมีข้อมูลมากขึ้นและดึงดูดความสนใจได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น:

– Sitelink Extensions: เพิ่มลิงก์ไปยังหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ของคุณ
– Callout Extensions: เพิ่มข้อความสั้นๆ เน้นจุดเด่นของธุรกิจ
– Structured Snippet Extensions: แสดงรายการสินค้าหรือบริการ
– Call Extensions: แสดงเบอร์โทรศัพท์ให้ลูกค้าโทรหาคุณได้ทันที

ตัวอย่าง:
หัวเรื่องหลัก: ร้านอาหารอิตาเลียนสุดอร่อย
Sitelinks: เมนูอาหาร | จองโต๊ะ | โปรโมชั่น | ติดต่อเรา
Callouts: เชฟอิตาเลียนแท้ | วัตถุดิบนำเข้า | บรรยากาศโรแมนติก
Structured Snippets: พิซซ่า | พาสต้า | ริซอตโต้ | ไวน์
Call Extension: โทร 02-xxx-xxxx

4.2 ปรับแต่งโฆษณาตามอุปกรณ์
ผู้ใช้บนมือถือและคอมพิวเตอร์มีพฤติกรรมการใช้งานต่างกัน ควรปรับโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละอุปกรณ์

สำหรับมือถือ:
– ใช้ข้อความสั้น กระชับ
– เน้น Call-to-Action ที่ทำได้ง่ายบนมือถือ เช่น “โทรเลย” “กดสั่งออนไลน์”

สำหรับคอมพิวเตอร์:
– สามารถใช้ข้อความยาวขึ้นได้
– เน้นการให้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” “เปรียบเทียบแพ็คเกจ”

4.3 ทดสอบ A/B Testing
สร้างโฆษณาหลายๆ เวอร์ชัน แล้วทดสอบว่าแบบไหนได้ผลดีที่สุด

ตัวอย่าง:
เวอร์ชัน A:
หัวเรื่อง 1: พิซซ่าอิตาเลียนแท้ๆ
หัวเรื่อง 2: ลด 20% เฉพาะวันนี้!
หัวเรื่อง 3: จองโต๊ะออนไลน์ รับฟรีของหวาน

เวอร์ชัน B:
หัวเรื่อง 1: อิ่มอร่อยสไตล์อิตาลี
หัวเรื่อง 2: ซื้อ 1 แถม 1 ทุกเมนูหลัก
หัวเรื่อง 3: สั่งเดลิเวอรี่ ส่งฟรีภายใน 30 นาที

ทดลองใช้ทั้งสองเวอร์ชัน แล้วดูว่าแบบไหนมีอัตราการคลิก (Click-Through Rate) สูงกว่า

4.4 ใช้คีย์เวิร์ดในโฆษณา
พยายามใส่คีย์เวิร์ดที่คุณต้องการโฆษณาลงในข้อความโฆษณา โดยเฉพาะในส่วนหัวเรื่อง เพื่อให้โฆษณาดูเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหา

ตัวอย่าง:
ถ้าคีย์เวิร์ดคือ “พิซซ่าเดลิเวอรี่”
หัวเรื่อง 1: พิซซ่าเดลิเวอรี่ ส่งร้อนๆถึงบ้าน
หัวเรื่อง 2: สั่งพิซซ่าออนไลน์ ส่งฟรี 24 ชม.
หัวเรื่อง 3: พิซซ่าเดลิเวอรี่อันดับ 1 ในกรุงเทพ

4.5 ปรับโฆษณาตามฤดูกาลหรือเทศกาล
ปรับโฆษณาให้เข้ากับช่วงเวลาหรือเทศกาลต่างๆ เพื่อให้ดูทันสมัยและเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังสนใจ

ตัวอย่าง:
ช่วงวาเลนไทน์:
หัวเรื่อง 1: ดินเนอร์สุดโรแมนติกในวาเลนไทน์
หัวเรื่อง 2: เมนูพิเศษสำหรับคู่รัก ลด 30%
หัวเรื่อง 3: จองโต๊ะวันนี้ รับฟรีไวน์ 1 ขวด

ช่วงปีใหม่:
หัวเรื่อง 1: ฉลองปีใหม่แบบอิตาเลียน
หัวเรื่อง 2: บุฟเฟ่ต์ปีใหม่ไม่อั้น 999 บาท
หัวเรื่อง 3: จองปาร์ตี้ปีใหม่ รับส่วนลด 20%

5. ข้อควรระวังในการเขียนโฆษณา Google Ads

5.1 หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่เกินจริง
Google มีนโยบายเข้มงวดเกี่ยวกับการโฆษณาที่เกินจริง หลีกเลี่ยงการใช้คำเช่น “ที่สุด” “ดีที่สุด” หากไม่มีหลักฐานยืนยัน

5.2 ตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดคำ
โฆษณาที่มีข้อผิดพลาดด้านไวยากรณ์หรือการสะกดคำอาจทำให้ธุรกิจดูไม่น่าเชื่อถือ

5.3 อย่าใช้เครื่องหมายวรรคตอนมากเกินไป
การใช้เครื่องหมายตกใจ (!) หรือเครื่องหมายคำถาม (?) มากเกินไปอาจทำให้โฆษณาดูไม่เป็นมืออาชีพ

5.4 หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์
ระวังการใช้ชื่อแบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของในโฆษณา

5.5 ทำตามนโยบายของ Google
ศึกษาและทำตามนโยบายโฆษณาของ Google อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกระงับโฆษณา

สรุป
การเขียนโฆษณา Google Ads ให้น่าคลิกเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องอาศัยความเข้าใจในจิตวิทยาผู้บริโภค ความคิดสร้างสรรค์ และการทดสอบอย่างต่อเนื่อง จำไว้ว่าโฆษณาที่ดีควรสื่อสารข้อความที่ชัดเจน นำเสนอคุณค่าที่โดดเด่น และกระตุ้นให้ผู้ชมลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยการฝึกฝนและปรับปรุงอยู่เสมอ คุณจะสามารถสร้างโฆษณาที่ไม่เพียงแต่น่าคลิก แต่ยังสามารถเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Adblock test (Why?)